6 กรกฎาคม 2566 เมื่อภาษีที่ดิน… จุดเริ่มต้นของการทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ

ที่มา : https://www.seub.or.th/bloging/news/2023-180/
จากก่อนหน้านี้ที่รัฐบาลได้ลดหย่อนการจัดเก็บ ภาษีที่ดิน จาก 90 เปอร์เซ็นต์
เหลือจัดเก็บเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อช่วยลดภาระของผู้เสียภาษี ทว่าปัจจุบันเจ้าของที่ดินทุกคนจะต้องกลับมาเสียภาษีที่ดินเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ดินแต่ละประเภทจะเสียภาษีตามลักษณะการใช้ประโยชน์ต่างกัน
จะเห็นได้ว่า ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ซึ่งถ้าหากไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ ไม่มีรายได้จากที่ดินรกร้างเหล่านี้ จะถูกจัดเก็บเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าสูงมาก จนส่งผลให้เจ้าของที่ดินเริ่มตื่นตัวและนำที่ดินรกร้างมาทำการเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เพื่อช่วยลดภาระภาษีที่ดิน แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ตั้งแต่พืชที่ปลูกและจำนวนปลูกต่อไร่ และหากปล่อยรกร้างเป็นเวลานานติดต่อกัน 3 ปี จะปรับอัตราภาษีที่ดินรกร้างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีก แน่นอนว่าเป็นการกระตุ้นให้ผู้ครอบครองที่ดินใช้ประโยชน์จากที่ดิน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม
เพิ่มรายได้เข้ารัฐบาลนำไปสู่การพัฒนาประเทศ
แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่ากฎหมายนี้ยิ่งเอื้อประโยชน์ให้คนรวย จนเกิดบริษัทรับจ้างพัฒนาที่ดินรกร้าง เปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้เป็นพื้นที่ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี กฎหมายตัวนี้จึงไม่สามารถทำตามได้ในสิ่งที่หวังไว้ และทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว พื้นที่รกร้าง ที่ถูกมองว่าไม่ได้
ใช้ประโยชน์ แท้จริงแล้วมันมีประโยชน์ในตัวของมันเอง เป็นแหล่งระบบนิเวศขนาดเล็กให้สัตว์นานาชนิด แหล่งดูดซับคาร์บอน ทั้งยังเป็น Ecology Corridor หรือสะพานระบบนิเวศ ที่เปิดทางให้พรรณไม้ท้องถิ่นได้กลับมาเจริญเติบโตได้ด้วยตนเองหรือผ่านการปลูกใหม่ เพื่อคุ้มครองพันธุกรรมของพันธุ์พืชเหล่านี้ จากการคุกคามของพืชต่างถิ่น ทั้งยังช่วยให้สัตว์บางชนิดอย่าง นกย้ายถิ่น นกอพยพ ได้มีที่พักที่หากิน ป้องกันการสูญพันธุ์อีกด้วย