ผู้จัดการสินทรัพย์จากธรรมชาติกับการพัฒนาเศรษฐกิจ

การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development เป็นคำที่หลายคนอาจคุ้นเคย หากแต่อยากชวนมาดูการตีความคำ ๆ นี้อย่างลึกซึ้งว่าราชบัณฑิตยสภาได้ให้ความหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนไว้อย่างไร

“การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเจริญเติบโตอย่างสมดุลและมีเสถียรภาพในระยะยาว โดยคำนึงถึงผลกระทบและข้อจำกัดด้านคุณภาพของสิ่งแวดล้อม และข้อจำกัดอื่น ๆ การพัฒนาที่ยั่งยืนจึงไม่จำเป็นจะต้องมีการเติบโตในอัตราที่สูงมากแต่มีความเจริญเติบโตในอัตราที่เหมาะสมกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ เนื่องจากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นอาจจะทำให้รายได้โดยเฉลี่ยของประชากรเพิ่มสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ นั้นเสื่อมโทรมหรือหมดสิ้นไป หรือทำให้เกิดภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษต่อมนุษย์ จึงทำให้การพัฒนาไม่ยั่งยืนในระยะยาว” (พจนานุกรมศัพท์เศรษฐศาสตร์ ฉบับราชบัณฑิตยสภา พิมพ์ครั้งที่ 3) 

คำสั้น ๆ ที่ต้องอธิบายด้วยตัวอักษรกว่าห้าบรรทัด สำหรับผู้เขียนรู้สึกสะดุดกับประโยคที่ขีดเส้นใต้ เพราะเป็นประโยคที่สะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาประเทศในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ต้นไม้ที่เจริญเติบโตบนเงิน
ที่มา: https://www.freepik.com/free-photo/plant-growing-coins-glass-jar_6755746.htm#fromView=search&page=1&position=44&uuid=228e485b-74b8-4be5-b176-1fb9d95e2a5a

หากย้อนมองดูว่าเหตุใดมนุษย์เราจึงไม่ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน ในยุค ‘แอนโทรโปซีน (Anthropocene)’ ที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมีนัยสำคัญ ‘มนุษย์ทุกคน’ ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็น ‘ผู้จัดการสินทรัพย์จากธรรมชาติ’ (asset manager) ตั้งแต่ระดับปัจเจก ภาคธุรกิจ ภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ เนื่องจากทุกฝ่ายล้วนแต่มีบทบาทในการตัดสินใจใช้จ่ายและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ และหากมองด้วยใจอันเป็นกลางมนุษย์ก็ดูจะไม่ใช่ผู้จัดการที่ยุติธรรมกับธรรมชาติมากนัก

ช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประชาชนทั่วโลกยังไม่สามารถจัดการดูแลและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน จากข้อมูลเชิงสถิติพบว่าในช่วงปี ค.ศ. 1992 – 2014 รายได้ผลผลิตเฉลี่ยต่อประชากรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและต้นทุนทรัพยากรมนุษย์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 13

แต่ปริมาณของต้นทุนธรรมชาติต่อคนลดลงถึงเกือบร้อยละ 40 กล่าวคือในขณะที่สังคมมนุษย์ขยายตัวและเจริญรุดหน้า แต่ธรรมชาติกลับเสื่อมโทรมและให้ผลผลิตและบริการที่ลดน้อยถอยลง เนื่องจากการนำทรัพยากรไปใช้ในการอุปโภคบริโภค ตลอดจนการผลิตและจัดทำโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ความไม่สมดุลนี้กำลังก่อให้เกิด ‘ปัญหา’ ทั้งกับมนุษย์ สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ

ทว่าต้นตอของปัญหาหยั่งรากลึกเกินกว่านั้น เพราะที่ผ่านมาราคาสินค้าที่เป็นผลผลิตจากธรรมชาติยังไม่ได้ถูกคำนวณ “มูลค่าที่แท้จริง” ซึ่งอาจมาจากการที่มนุษย์สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรหลายประเภทได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้การประเมินค่าของทรัพยากรที่มีอยู่ต่ำกว่าความเป็นจริง เกิดการบิดเบือนทางการตลาด และแทนที่จะลงทุนกับสินทรัพย์ในธรรมชาติ (natural asset) กลับให้ความสำคัญกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ เช่น ต้นทุนทางการผลิต (produced capital) เป็นต้น นอกจากนี้ การติดตามตรวจสอบและวิเคราะห์ผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติยังเป็นไป ได้ยากหรือไม่ตรงตามความเป็นจริง เนื่องมาจากทรัพยากรชีวภาพส่วนใหญ่ “เคลื่อนที่ได้” มีการเคลื่อนย้ายไปมาตลอดเวลา และบางชนิดมองไม่เห็น เช่น สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในดิน เป็นต้น 

แต่นั่นไม่ใช้ข้ออ้างที่จะไม่พยายามผนวกต้นทุนทางธรรมชาติในมูลค่าที่แท้จริงของสินค้าและบริการที่ได้จากธรรมชาติเพราะแม้ว่าปัญหาจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีมานานนับแต่อดีต แต่บรรพบุรุษของเรายังไม่ได้มีเทคโนโลยีและความรู้มากพอที่จะสร้างผลกระทบต่อระบบของโลกให้แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเหมือนที่คนในยุคปัจจุบันกำลังทำอยู่

ทรัพยากรป่าไม้
ที่มา: https://www.freepik.com/free-photo/maze-trees-is-surrounded-by-green-vegetation_41667234.htm#fromView=search&page=1&position=10&uuid=08981c86-d394-446f-9b42-0a6fd3345e6c

ดังนั้น ต้องปรับเปลี่ยนแนวคิด แนวปฏิบัติ และ ‘มาตรวัดความส าเร็จทางเศรษฐกิจ’ จากเดิมที่มักใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในการวิเคราะห์และจัดการเศรษฐศาสตร์มหภาคในระยะสั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าตัวเลขที่สะท้อนใน GDP นั้นไม่ได้คำนึงถึงค่าเสื่อมราคา (depreciation) ของสินทรัพย์ต่าง ๆ จากธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้การใช้ GDP ในการวัดความสำเร็จทางเศรษฐกิจไม่สามารถทำให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

มนุษย์ในฐานะผู้จัดการสินทรัพย์จากธรรมชาติได้เดินทางมาถึงจุดที่ต้องเลือกเส้นทางสู่อนาคตว่าจะเลือกเป็นผู้จัดการแบบไหนและพาโลกเดือด ๆ ใบนี้ให้หมุนไปในเส้นทางใด จะเลือกเส้นทางแห่งความยั่งยืน ทั้งต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และลูกหลานรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคต หรือจะเลือกเส้นทางที่ยังดำรงชีวิตโดยอาศัยการผลิตและบริโภครัพยากรธรรมชาติอย่างเกินขีดความสามารถของธรรมชาติเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วยังสร้างความเสี่ยงและความไม่แน่นอนต่อระบบเศรษฐกิจอีกด้วย

บทความโดย นางสาวพุทธธิดา รัตนะ นักวิชาการสิ่งแวดล้อมปฏิบัติการ กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ (กลช.) บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ KM for Journey to be the writers

เอกสารอ้างอิง:
Dasgupta, P. (2021), The Economics of Biodiversity: The Dasgupta Review

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy