Nature Finance: พลิกวิกฤตสู่โอกาสในการลงทุนจาก “ทุนทางธรรมชาติ”
เมื่อการสูญเสียธรรมชาติกลายเป็น “ความเสี่ยงทางการเงิน” ที่ถูกมองข้าม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แนวคิดเรื่องการเงินสีเขียว (Green Finance) ได้รับการผลักดันอย่างกว้างขวางทั่วโลกผ่านกลไกต่าง ๆ อาทิ การออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Green Bond) หรือการปล่อย
สินเชื่อสีเขียว (Green Loan) เพื่อระดมทุนสนับสนุนโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เงินทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) โดยเฉพาะในภาคพลังงานและภาคคมนาคม
นักวิชาการทั่วโลกให้ข้อสังเกตว่า ‘ความหลากหลายทางชีวภาพ’ เป็นรากฐานสำคัญต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ได้รับความสนใจและการจัดสรรเงินทุนน้อยกว่ามาก ซึ่งการมุ่งเน้นเฉพาะการลดก๊าซคาร์บอนโดยละเลยความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เปรียบเสมือนการซ่อมหลังคาบ้านที่ไฟไหม้ โดยไม่สนใจว่าฐานรากของบ้านกำลังผุพัง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะไม่มีความหมายเลย หากเราสูญเสียศักยภาพและความสมดุลของป่าไม้ ป่าชายเลน หรือมหาสมุทร ในการเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนและแหล่งวัตถุดิบทางเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
ภาคการเงินได้เรียนรู้ในการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) ผ่านกรอบการทำงาน เช่น TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures) แต่ปัจจุบันทั่วโลกกำลังตระหนักถึงความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่งที่ซ่อนอยู่และมีนัยสำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ (Nature-related Risk) เรามักมองว่าความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเพียงเรื่องของ
การอนุรักษ์ แต่ในความเป็นจริง ระบบนิเวศคือโครงสร้างพื้นฐานที่ค้ำจุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตน้ำ การผลิตอาหาร ไปจนถึงการควบคุมโรคระบาดและภัยพิบัติต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อระบบนิเวศเสื่อมโทรมย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลกำไรและมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนมุมมองครั้งสำคัญว่า “การสูญเสียธรรมชาติ คือ การสูญเสียทางการเงิน”

TNFD: มาตรฐานใหม่ในการวัดความเสี่ยงด้านธรรมชาติ
การพัฒนามาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า Taskforce on Nature-related Financial Disclosures (TNFD) จึงเป็นการตอบสนองต่อความท้าทายและความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นกรอบแนวทางให้องค์กรธุรกิจและสถาบันการเงินใช้ในการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบ (Impacts) การพึ่งพา (Dependencies) ความเสี่ยง (Risks) และโอกาส (Opportunities) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งประกอบด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่
1. Governance – การกำกับดูแลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านธรรมชาติ
2. Strategy – กลยุทธ์ขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
3. Risk & Impact Management – การบริหารความเสี่ยงและผลกระทบจากธรรมชาติ
4. Metrics & Targets – ตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ใช้วัดผลกระทบต่อธรรมชาติ
ความโดดเด่นของ TNFD คือ การขยายขอบเขตการประเมินจากการปล่อยคาร์บอนไปสู่มิติอื่น ๆ ของธรรมชาติ ได้แก่ ที่ดิน น้ำ มหาสมุทร ป่าไม้ และความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจเห็นถึงความเชื่อมโยงว่าตนเอง ‘พึ่งพา’ บริการทางนิเวศมากน้อยเพียงใดอย่างแท้จริง เช่น ธุรกิจอาหารพึ่งพาความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ ธุรกิจประกันภัยพึ่งพาบริการทางนิเวศในการป้องกันภัยพิบัติ
ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินจะสามารถประเมินความเสี่ยงในการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจที่ดำเนินการในพื้นที่อ่อนไหวทางธรรมชาติได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

จาก Green Finance สู่ Blue/Nature Finance
แม้ Green Finance จะเป็นกระแสหลัก แต่ในทางเทคนิคแล้ว เงินทุนที่เจาะจงเพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติได้ถูกจำแนกเป็น Blue Finance (เน้นมหาสมุทรและแหล่งน้ำ) และ Nature Finance (เน้นการลงทุนเพื่อผลลัพธ์เชิงบวกต่อธรรมชาติ) ซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่ได้มุ่งเพียงแค่ “การลดผลกระทบสุทธิเป็นศูนย์” (Net-Zero Impact) แต่คือการมุ่งสู่ “การเพิ่มพูนธรรมชาติสุทธิ” (Nature-Positive) อันหมายถึง
การลงทุนที่ส่งผลให้สภาพของความหลากหลายทางชีวภาพโดยรวมดีขึ้นกว่าเดิม และสร้างมูลค่าให้กับความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้เกิดกลไกทางการเงินใหม่ที่เรียกว่า “เครดิตความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Credit)” ซึ่งมีหลักการคล้ายคาร์บอนเครดิต แต่มีหน่วยวัดเป็นการเพิ่มขึ้นของความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ กลไกนี้ช่วยให้องค์กรหรือชุมชนที่ดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ป่าไม้ พื้นที่ชุ่มน้ำ
หรือแนวปะการังอย่างยั่งยืน สามารถขายเครดิตดังกล่าวให้กับบริษัทที่ต้องการชดเชยผลกระทบต่อธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญคือการวัดผลลัพธ์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่ซับซ้อนกว่าการวัดปริมาณก๊าซคาร์บอน ดังนั้นการพัฒนามาตรฐานสากลที่น่าเชื่อถือจึงเป็นหัวใจสำคัญของการซื้อขายเครดิตประเภทนี้
สำหรับประเทศไทย การขยายองค์ความรู้ และการผลักดันให้มีการใช้มาตรฐาน TNFD จะทำให้สามารถเปลี่ยนความเสี่ยงด้านธรรมชาติให้เป็นโอกาสในการลงทุน และดึงดูดเงินทุนที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงบวกต่อ
สิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่งคั่งและยั่งยืนบนฐานของทุนทางธรรมชาติ
บทความโดย นางสาวอัฏฐารจ ชาวชน นักวิชาการสิ่งแวดล้อมปฏิบัติการ กองติดตามประเมินผลสิ่งแวดล้อม
เอกสารอ้างอิง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ม.ม.ป.) “การเงินเพื่อความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม (The Rise of ESG and Green Finance)” https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/bot-ืืmagazine/256205TheKnowledge3.html
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ม.ม.ป.) “ความหลากหลายทางชีวภาพกับการดำเนินธุรกิจ” https://setsustainability.com/libraries/1297/item/biodiversity
ธนาคารกรุงศรี (2567) Green Financing เครื่องมือทางการเงินเพื่อพัฒนาโลกไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว https://www.krungsri.com/getmedia/f3bea8a3-f25b-4fac-948d-114ac164cf28/RI_Green_Financing_240410_TH.pdf.aspx
OECD (2025) Scaling Up Biodiversity-Positive Incentives Delivering on Target 18 of the Global Biodiversity Framework https://www.oecd.org/en/publications/scaling-up-biodiversity-positive-incentives_19b859ce-en/full-report/biodiversity-credits_79628cd2.html
Biodiversity Credit Alliance (2024) Definition of a Biodiversity Credit https://www.biodiversitycreditalliance.org/wp-content/uploads/2024/05/Definition-of-a-Biodiversity-Credit-Rev-220524.pdf