3 พฤศจิกายน 2568 ชี้เทรนด์คนยังนิยมพลาสติก SCGP มุ่งรีไซเคิล-จัดการขยะ

SCGP ชี้พฤติกรรมคนเมืองนิยมบรรจุภัณฑ์พลาสติกมากกว่ากระดาษ ตอบโจทย์สะดวกแถมยืดหยุ่นกว่า โหมลงทุนรีไซเคิล-จัดการขยะ มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ชี้ปัจจัยหลักราคาขายลด แถมเจอบาทแข็ง ฉุดกำไรปีนี้ EBITDA ห่างเป้า 18,000 ล้านนายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในไตรมาส 4 ของปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่และเทศกาลเฉลิมฉลอง และปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นขณะที่ราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษและบรรจุภัณฑ์โพลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ส่วนราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์และเยื่อเคมีละลายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่ฟื้นตัวอย่างไรก็ดี ภาพรวมธุรกิจของ SCGP ในปีนี้คาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ระดับ 18,000 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ 16,127 ล้านบาท และยอดขายไม่น้อยกว่า 132,784 ล้านบาทแม้ว่ายอดขายเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายปรับลดลงตามแนวโน้มตลาดภูมิภาค ประกอบกับบาทแข็งค่ามาก ส่งผลให้ EBITDA ย่อตัวลงจากเป้าเดิม โดยไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 30,438 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 4,154 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 953 ล้านบาท “ปริมาณขายงวด 9 เดือนปี’68 โต 3% ขณะที่ปริมาณส่งออกจีนลดลง เนื่องจากบริษัทกระจายความเสี่ยงไปยังอินเดีย แต่ด้วยราคาขายในภูมิภาคปีนี้ลดลง ทำให้ EBITDA ทั้งปีลดลงตามยอดขายที่ลดลง”

นายวิชาญกล่าวขณะที่ทิศทางอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ปี 2569 มีแนวโน้มพัฒนาบรรจุภัณฑ์แบบ Convenience Packaging เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง แต่พบว่า บรรจุภัณฑ์พลาสติกเติบโตเร็วกว่าบรรจุภัณฑ์กระดาษ เนื่องจากพลาสติกมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นกว่า แต่ปัญหาหลักของพลาสติก คือ การจัดการขยะหลังการใช้ ดังนั้น การพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลจำเป็นต้องดำเนินควบคู่กับการสร้างระบบจัดการและคัดแยกขยะที่มีประสิทธิภาพ บริษัทจึงได้ขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 25% ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593โดยปัจจุบันบรรจุภัณฑ์ของ SCGP สามารถรีไซเคิลได้ประมาณ 99.6% พร้อมขยายความร่วมมือกับลูกค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำจำนวน 6 ราย ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลากคาร์บอนฟุตพรินต์ของผลิตภัณฑ์ (CFP)นอกจากนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งในตลาดอาเซียนละขยายฐานการลงทุนเพิ่มเติม โดยลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขเพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วน 100% ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีมูลค่ากิจการรวมไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการเข้าซื้อกิจการ คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 4 ปี 2568คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงต้นปี 2569 และจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ SCGP ในอินโดนีเซียจากเดิม 7% เป็น 10% นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาส Cross-Selling จากฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศสำหรับ MYPAK เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกชั้นนำในประเทศอินโดนีเซีย ฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา ซึ่งใกล้กับฐานการผลิตกระดาษ บรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. (หรือ Fajar) และโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษอื่น ๆ ของ SCGPทั้งนี้ MYPAK มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าชั้นนำในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในอินโดนีเซีย โดยในปี 2567 MYPAK มีรายได้ 846 พันล้านรูเปียห์ ประมาณ 1,777 ล้านบาท และทรัพย์สิน 1,272 พันล้านรูเปียห์ ประมาณ 2,670 ล้านบาท กำลังการผลิตกล่องกระดาษลูกฟูกคุณภาพสูงอยู่ที่ 144,000 ตันต่อปี

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/economy/news-1911959)

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy