26 สิงหาคม 2568 เวียดนามเดินหน้ายกระดับอีคอมเมิร์ซสู่มาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เวียดนามกำลังเร่งผลักดันการพัฒนาแนวทางอีคอมเมิร์ซที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green solutions for e-commerce) เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมท่ามกลางการเติบโตอย่างรวดเร็วของภาคธุรกิจนี้ โดยสำนักงาน อีคอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัล (The Vietnam E-commerce and Digital Economy Agency: iDEA) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา อีคอมเมิร์ซเวียดนามมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 20 ต่อปี มูลค่าตลาดสูงถึง 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 9 ของยอดค้าปลีกสินค้าและบริการทั้งประเทศ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2573 ส่งผลให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้านบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง โดยองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกประจำเวียดนาม (World Wildlife Fund Vietnam: WWF-Vietnam) รายงานว่า ในปี 2566 ภาคอีคอมเมิร์ซสร้างขยะบรรจุภัณฑ์กว่า 332,000 ตัน ซึ่งกว่าครึ่งเป็นพลาสติก และคาดว่าหากไม่มีมาตรการจัดการที่เหมาะสม ปริมาณขยะพลาสติกอาจเพิ่มสูงถึง 800,000 ตันต่อปีภายในปี 2573 อีกทั้งกิจกรรมการขนส่งสินค้ายังเป็นแหล่งสำคัญของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว รายงานของ Google Temasek และ Bain & Company ชี้ว่า การปรับเส้นทางการจัดส่งให้มีประสิทธิภาพและการใช้วัสดุรีไซเคิลสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึงร้อยละ 30–40 แต่การบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และผู้บริโภคไปพร้อมกัน การสำรวจของสมาคมอีคอมเมิร์ซเวียดนาม (Vietnam E-commerce Association: VECOM) สะท้อนความต้องการในทิศทางเดียวกัน โดยร้อยละ 79 ของผู้บริโภคคาดหวังให้รัฐบาลออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 71 ต้องการให้ภาคธุรกิจเปิดเผยข้อมูลบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และร้อยละ 61 เห็นว่าควรมีการรณรงค์ด้านสื่อและการศึกษาเพื่อสร้างความตระหนักรู้ต่อสังคม
ในทางปฏิบัติ หลายองค์กรได้เริ่มดำเนินการเพื่อปรับตัว เช่น บริษัท Viettel..Post ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Viettel Group ได้พัฒนาโมเดลไปรษณีย์เคลื่อนที่ (mobile postal office model) ที่คัดแยกพัสดุบนรถโดยตรง ลดขั้นตอนการขนย้ายและระยะทางจัดส่งลงร้อยละ 15 ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยคาร์บอน พร้อมทั้งติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ในศูนย์คัดแยก เพื่อใช้กับระบบไฟฟ้าและเครื่องปรับอากาศ ลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
ขณะเดียวกันในภาคการผลิตและบรรจุภัณฑ์ บริษัทข้ามชาติรายใหญ่อย่าง Nestlé Coca-Cola และ Tetra Pak ต่างผลักดันกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน โดย Nestlé ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20 ภายในสิ้นปี 2568 และทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดสามารถรีไซเคิลหรือใช้ซ้ำได้ ขณะที่ Coca-Cola ให้คำมั่นว่าจะใช้วัสดุรีไซเคิลร้อยละ 35–40 ในบรรจุภัณฑ์ภายในปี 2578 ส่วนโรงงาน Tetra Pak Binh Duong ถือเป็นหนึ่งในไม่กี่โรงงานในเวียดนามที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED Gold สามารถประหยัดน้ำได้ถึง 2 ล้านลิตรต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 4,000 ตัน
ที่มา : https://www.ditp.go.th (https://www.ditp.go.th/post/gujej93z35dexrd82khikpkb)