9 กุมภาพันธ์ 2564 นักวิทยาศาสตร์ชี้เป้าโลกร้อน เหตุสำคัญธารน้ำแข็งหิมาลัยถล่ม

ที่มา: https://www.mgronline.com /greeninnovation/detail/9640000012778
แผ่นดินไหว และการสะสมของแรงดันน้ำ ทำให้ธารน้ำแข็งแตกออก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาวะโลกร้อน ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ประกอบกับปริมาณหิมะที่น้อยลงสามารถเร่งการละลาย ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่อาจเป็นอันตรายได้ “ธารน้ำแข็งบนภูเขาส่วนใหญ่ทั่วโลกในอดีตมีขนาดใหญ่กว่านี้มาก ละลายและหดตัวลงอย่างมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน” ซาราห์ดาส (Sarah Das) นักวิทยาศาสตร์ร่วมจากสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์โฮลกล่าว “มีการระบุสถานการณ์น้ำท่วม และธารน้ำแข็งที่อาจเป็นอันตรายถึงตายจำนวนหนึ่งทั่วโลกรวมทั้งในเทือกเขาหิมาลัย และเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ แต่สถานที่ห่างไกลของธารน้ำแข็ง และการขาดการตรวจสอบ หมายความว่า เราไม่มีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเกิดขึ้นบ่อยเพียงใดและเพิ่มขึ้นหรือไม่” ดาส กล่าว “เมื่อพิจารณาถึงรูปแบบโดยรวมของการร้อนขึ้นการล่าถอยของธารน้ำแข็ง และการเพิ่มขึ้นของโครงการโครงสร้างพื้นฐานดูเหมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะตั้งสมมติฐานว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นบ่อยขึ้น และจะกลายเป็นการทำลายล้างโดยรวมมากขึ้นหากไม่มีการใช้มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้” ดาส กล่าว “ มีธารน้ำแข็ง และทะเลสาบที่ถูกทำลายด้วยธารน้ำแข็งจำนวนมากทั่วเทือกเขาหิมาลัย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการตรวจสอบ” ดาส กล่าวอีกว่า “ทะเลสาบเหล่านี้หลายแห่งอยู่ต้นน้ำของหุบเขาแม่น้ำที่สูงชัน และมีโอกาสเกิดน้ำท่วมรุนแรงเมื่อเกิดการแตก เมื่อน้ำท่วมเหล่านี้ไปถึงพื้นที่ที่มีผู้อยู่อาศัย และโครงสร้างพื้นฐานที่ละเอียดอ่อนสิ่งต่างๆ จะเป็นหายนะ” ก่อนหน้าเกิดภัยพิบัติธารน้ำแข็งหิมาลัยถล่มราวสองสัปดาห์ มีงานวิจัยที่เพิ่งตีพิมพ์ The Cryosphere โดย Thomas Slater และคณะเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ ม.ค. ๒๐๒๑ ว่า น้ำแข็งทั่วโลกกำลังละลาย ในอัตราเร็วซึ่งน่ากังวลที่สุดเท่าที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) เคยคำนวณไว้ งานวิจัยสรุปความได้ว่า โลกสูญเสียน้ำแข็งไปกว่า ๒๘ พันล้านตันในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๙๔ – ๒๐๑๗ ซึ่งเท่ากับปริมาตรน้ำแข็งสูง ๑๐๐ ม. บนพื้นที่ขนาดเท่าประเทศอังกฤษ ๒ ใน ๓ ของน้ำแข็งที่ละลายเกิดจากความร้อนของชั้นบรรยากาศ ส่วนอีก ๑ ใน ๓ จากมหาสมุทรที่ร้อนขึ้น ในช่วงเวลาดังกล่าว น้ำแข็งละลายเร็วขึ้นร้ยละ ๖๕ โดยปี ค.ศ. ๑๙๙๐ อยู่ที่ปีละ ๘๐๐ ล้านตัน ปี ค.ศ. ๒๐๑๗ เพิ่มขึ้นถึง ๑๒๐๐ ล้านตันต่อปี ครึ่งหนึ่งของน้ำแข็งที่ละลายมาจากแผ่นดินไหลลงสู่ทะเล ทำให้ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๙๔ – ๒๐๑๗ น้ำทะเลสูงขึ้น ๓๕ มม. ยิ่งน้ำแข็งปริมาณมากที่ขั้วโลกที่ละลายไป ทำให้สมดุลเสีย และน้ำแข็งละลายเร็วขึ้น เดิมน้ำแข็งสีขาวช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป เมื่อพื้นที่สีขาวลดลง บริเวณพื้นที่สีเข้ม เช่น น้ำทะเลเพิ่มขึ้น ยิ่งดูดซับความร้อนมากขึ้น และเร่งการละลายยิ่งขึ้น ธารน้ำแข็งกว่า ๖ พันล้านตัน หรือคิดเป็น ๑ ใน ๔ ของธารน้ำแข็งทั่วโลกหายไปในช่วง ค.ศ. ๑๙๙๔ – ๒๐๑๗ ทำให้เกิดน้ำท่วมและการขาดแคลนแหล่งน้ำจืดในหลายพื้นที่ “ขณะนี้น้ำแข็งกำลังละลายในอัตราเร็วที่แย่ที่สุด ที่องค์กร Intergovernmental Panel on Climate Change เคยทำนายไว้ น้ำทะเลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบเลวร้ายต่อชุมชนชายฝั่งอย่างมากในศตวรรษนี้” “ทุกๆ หนึ่งเซนติเมตรที่น้ำทะเลสูงขึ้น จะมีประชากรหนึ่งล้านคนได้รับผลกระทบ จนต้องย้ายที่อยู่”