9 กรกฎาคม 2563 ประเทศเปรูเตรียมเปิดมาชูปิกชูอีกครั้ง

ที่มา:
https://www.naewna.com/inter/504125
ทางการเปรูเตรียมเปิดมาชูปิกชู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเปรู ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง หลังถูกปิด เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา แต่ยังไม่ได้กำหนดวันเปิดที่แน่นอน โดยจะจำกัดผู้เข้าชมต่อวันเหลือครึ่งหนึ่ง ทางการเปรูแถลงอย่างเป็นทางการว่า จะมีการจำกัดผู้เข้าชมในมาชูปิกชู ๒,๒๔๔ คนต่อวัน ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าชมในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติแนะนำให้ทางการเปรูจำกัดจำนวนผู้เข้าชม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อมโทรมของมาชูปิกชู ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ทั้งนี้ การจำกัดจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมมาชูปิกชูเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการที่ทางกระทรวงวัฒนธรรมของประเทศเปรูได้วางแผนไว้ก่อนหน้าตั้งแต่ที่ยังไม่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศเปรู อย่างไรก็ตาม แผนการข้างต้นได้ถูกชะลอไว้จากมาตรการล็อกดาวน์ของทางการเปรู โดยในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด มาชูปิกชูมีผู้เข้าเยี่ยมชมสูงถึง ๒,๐๐๐ – ๓,๐๐๐ คนต่อวัน และเพิ่มขึ้นเป็น ๕,๐๐๐ คนต่อวันในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศเปรู ซึ่งมีการจ้างงานประชาชนท้องถิ่น ๑๐๐,๐๐๐ คนในเมืองกุสโก เป็นเมืองหลวงของชาวอินคาโบราณที่อยู่ห่างจากมาชูปิกชู ๗๐ กม. ก่อนหน้านี้ ทางการเปรูวางแผนกลับมาเปิดมาชูปิกชูให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้งในวันที่ ๑ ก.ค. ที่ผ่านมา โดยการจำกัดผู้เข้าชม ๖๗๕ คนต่อวัน และดำเนินมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่แผนการดังกล่าวได้ถูกยกเลิกเนื่องจากเกรงว่า อาจก่อให้เกิดการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาไปยังเมืองใกล้เคียง ทั้งนี้ ประเทศเปรูประกาศปิดพรมแดนมาแล้วเกือบ ๔ เดือน ขณะพยายามควบคุมการแพร่ระบาดทำให้มีผู้เสียชีวิตราว ๑๑,๐๐๐ คน และมียอดผู้ติดเชื้อสะสมกว่า ๓๐๐,๐๐๐ คน ทางการเปรูเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในมาชูปิกชูระหว่างมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อป้องกันการโจรกรรมสมบัติทางโบราณคดี หลังจากที่เคยปิดโบราณสถานแห่งนี้ครั้งล่าสุดในปี ๒๕๕๓ จากเหตุน้ำท่วมเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อมาชูปิกชูกับกรุงลิมา ขณะที่นายกรัฐมนตรีบิเซนเต เซบาญอส ของประเทศเปรูยอมรับว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเปรูสูญเสียรายได้ในปีนี้ถึง ๓,๓๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว ๑๐๓,๒๐๐ ล้านบาท)