7 ธันวาคม 2568 เรื่องราวจากปางขอน-ผาลั้ง กับเส้นทางกาแฟที่ดูแลทั้งป่าและชุมชน

บนเส้นทางที่คดเคี้ยวมุ่งสู่ยอดดอย เชียงรายเผยภาพใหม่ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง จากพื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยสวนลิ้นจี่ ลูกไหน และไม้ผลที่ต้องลุ้นรายได้ทุกปี วันนี้กลับแน่นขนัดไปด้วยต้นกาแฟสีเขียวเข้มเรียงรายเป็นแถว สะท้อนว่า ‘อาชีพใหม่’ กำลังหยั่งรากให้สองชุมชนบ้านปางขอนและผาลั้งมีรายได้มั่นคงขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

กว่าสิบปีที่ผ่านมา บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ (OR) นำทีมผู้เชี่ยวชาญจาก คาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon) ลงพื้นที่ทำงานร่วมกับเกษตรกรหลายจังหวัด ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านคุณภาพ ความเข้าใจภูมิศาสตร์ของพื้นที่สูง และมาตรฐานการแปรรูป ก่อนต่อยอดสู่การพัฒนาดอยเชียงรายให้เป็น ‘ต้นแบบการปลูกกาแฟอย่างยั่งยืนของไทย’ ตั้งแต่กระบวนการให้ความรู้ การดูแลต้นกาแฟ การคัดคุณภาพผลผลิต ไปจนถึงระบบรับซื้อที่เป็นธรรม และส่งต่อสู่ร้าน Café Amazon กว่า 4,500 สาขาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมแล้วเสิร์ฟกาแฟกว่า 400 ล้านแก้วต่อปี ‘พงษ์ศักดิ์ ภัทรเมธีวิญญู’ ผู้จัดการฝ่ายบริหารห่วงโซ่อุปทานเมล็ดกาแฟดิบ OR อธิบายว่า จุดเริ่มต้นของโครงการดังกล่าวคือความเชื่อว่าการยกระดับชีวิตเกษตรกรต้องเริ่มจากความรู้และมาตรฐาน ไม่ใช่แค่การรับซื้อผลผลิตเท่านั้น “เราไม่ต้องการให้ชุมชนรู้สึกว่า OR เป็นพ่อค้าผู้ซื้อ แต่เป็นเพื่อนร่วมพัฒนา” พงษ์ศักดิ์กล่าว พร้อมเล่าว่าทีมงานลงพื้นที่ทั้งเชียงราย เชียงใหม่ น่าน และชุมพร เพื่อสร้างระบบที่โปร่งใสทำให้ผลผลิตได้มาตรฐาน และทำให้เกษตรกรมีรายได้จริงในระยะยาว

สภาพภูมิอากาศ-ตัวแปรกำหนดคุณภาพกาแฟไทย

การปลูกกาแฟคุณภาพดีนั้นไม่ง่าย จะต้องเริ่มจากเงื่อนไขพื้นฐานอย่างภูมิประเทศ โดยเฉพาะกาแฟสายพันธุ์อาราบิกา ซึ่งต้องปลูกในพื้นที่สูงกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลจึงจะให้รสชาติได้มาตรฐาน หากปลูกในระดับต่ำกว่า 800 เมตร ต้องเปลี่ยนไปปลูกโรบัสตาแทน

ปางขอน-ต่อยอดความรู้สู่การสร้างรายได้ใหม่

แม้ชุมชนปางขอนจะปลูกกาแฟมานาน แต่ที่ผ่านมามักเป็นการปลูกตามธรรมชาติและไม่มีตลาดรองรับ กาแฟจึงเป็นเพียงรายได้เสริม จนกระทั่งปี 2560 เมื่อ โออาร์ ผ่านคาเฟ่ อเมซอน และบริษัท สานพลัง วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด เข้ามาร่วมงานกับชุมชน การพัฒนากาแฟปางขอนจึงเริ่มขึ้น ตั้งแต่การสอนวิธีเก็บเชอร์รี่ การจัดการร่มเงา การดูแลต้นกาแฟ ไปจนถึงระบบรับซื้อที่มีมาตรฐานและเป็นธรรม

จากชุมชนที่มีผู้ปลูกเพียงไม่กี่สิบครัวเรือน วันนี้มีมากกว่า 100 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกเฉลี่ยสูงกว่า 1,200 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำให้กาแฟมีอัตลักษณ์เฉพาะและเป็นที่ต้องการของตลาด

ผาลั้ง-พลิกสวนลิ้นจี่สู่กาแฟทำเงิน

ต่างจากปางขอน ชุมชนผาลั้งเคยพึ่งพาการปลูกลิ้นจี่เป็นรายได้หลัก แต่ต้องเผชิญรายได้ที่ผันผวนจากสภาพอากาศและการถูกกดราคา ทำให้ชาวบ้านเริ่มหันมาลองปลูกกาแฟหลังเห็นความสำเร็จของปางขอน ในปี 2561 โออาร์ ผ่านคาเฟ่ อเมซอน จึงเข้าไปสนับสนุนทั้งด้านองค์ความรู้ การรับซื้อผลผลิต และการให้ราคาที่เป็นมาตรฐาน

ในเวลาไม่ถึงสิบปี ผาลั้งได้กลายเป็นหมู่บ้านที่ปลูกกาแฟ 100% มากกว่า 200 ครัวเรือน ชาวบ้านมีรายได้เฉลี่ยหลักแสนบาทต่อปีจากการขายเมล็ดกาแฟ และเพราะกาแฟจำเป็นต้องอาศัยร่มเงา ความชุ่มชื้น และป่าที่สมบูรณ์ จึงทำให้ชุมชนหันกลับมาดูแลพื้นที่ป่าอย่างจริงจัง

สมดุลที่ต้องประคองทั้งต้นทุน-เกษตรกร และผู้บริโภค

แม้ประเทศไทยสามารถผลิตกาแฟได้เต็มที่ราว 2 หมื่นตันต่อปี แต่ปริมาณการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น เฉลี่ย 1-1.2 แก้วต่อคนต่อวัน เพิ่มขึ้นจากไม่ถึงหนึ่งแก้วเมื่อไม่กี่ปีก่อน ทำให้ไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้ากาแฟจากต่างประเทศ กระแส Third Wave ที่เติบโตในช่วง 5-7 ปีที่ผ่านมา และความนิยมในกาแฟพิเศษก็ยิ่งให้ผลักความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า โออาร์เองก็จะต้องบริหารต้นทุนเพื่อให้ร้านกาแฟรายย่อยแข่งขันได้ ในขณะที่ราคากาแฟในตลาดโลกยังสูงและผันผวนจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ

“การทำธุรกิจกาแฟวันนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการปลูกให้ได้ผลผลิต แต่ต้องพยายามรักษาสมดุลระหว่างต้นทุนที่เพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตเกษตรกรที่ต้องดีขึ้น และราคาที่ผู้บริโภคยังเข้าถึงได้ เพื่อให้ห่วงโซ่กาแฟทั้งหมดยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน” พงษ์ศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย

ที่มา: เดลินิวส์ (www.dailynews.co.th/news/5370491/)

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy