29 ตุลาคม 2568 บ้านพระแก้ว ชัยนาท ปั้น Smart Farming ผลิตข้าวคาร์บอนต่ำครบวงจร

บ้านพระแก้วไม่ได้เป็นเพียงทุ่งนาธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของศักยภาพ “เกษตรไทย” ที่สามารถพัฒนาไปสู่ความมั่นคงทางอาชีพและความยั่งยืนได้จริง ผ่านการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภายใต้โมเดล Smart Farming และแนวคิด Low Carbon Agriculture ที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ หัวใจสำคัญของความสำเร็จนี้ คือ “คน” และ “ระบบ” ซึ่งที่บ้านพระแก้วมีผู้นำรุ่นใหม่ที่มองการณ์ไกล กล้าปรับตัว และนำองค์ความรู้ดั้งเดิมมาพัฒนาอย่างมีแบบแผน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ยกระดับมาตรฐาน GAP/GMP จนสามารถเปิดตลาดสินค้าเกษตรพรีเมียมได้สำเร็จ ทำให้ชุมชนเล็ก ๆ แห่งนี้ในจังหวัดชัยนาทก้าวขึ้นมาเป็น ต้นแบบของการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรยั่งยืน ที่จับต้องได้จริง

แนวทางเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน แต่ยังเป็นการร่วมกันดูแลโลกในเชิงปฏิบัติอย่างแท้จริง วิธีการทำนาแบบดั้งเดิมที่ “ขังน้ำไว้ในแปลง” ตลอดฤดูกาล แม้จะช่วยควบคุมวัชพืชได้ดี แต่กลับทำให้ดินขาดออกซิเจน จุลินทรีย์จึงปล่อยก๊าซมีเทนจำนวนมหาศาล กลายเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่เร่งภาวะโลกร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า ทำให้เกิดคำถามว่า เราจะปลูกข้าวอย่างไร ให้ได้ทั้งผลผลิต และความยั่งยืน

ด้านบุญฤทธิ หอมจันทร์ ประธานวิสาหกิจชุมชนผลิตพันธุ์พืชบ้านพระแก้ว เล่าย้อนว่า เมื่อก่อนการรวมกลุ่มของชาวบ้านพระแก้วยังไม่มีโครงสร้างชัดเจน มีเพียงประธานที่เป็นหลักในการขับเคลื่อนกิจกรรม ขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ด้านการตลาด และยังยึดติดวิธีการทำนาแบบ “นาหว่าน” เพราะทำได้ง่ายและรวดเร็ว ทว่าผลลัพธ์กลับไม่คุ้มค่า ทำให้พื้นที่กว่า 577 ไร่ ที่ใช้วิธีนาหว่านนี้มีต้นทุนเฉลี่ยสูงถึง 5,260 บาทต่อไร่ ซึ่งแม้จะได้ผลผลิตเฉลี่ย 700 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อหักต้นทุนแล้วทำให้รายได้ติดลบ 1,060 บาทต่อไร่ เมื่อสยามคูโบต้าเข้ามาถ่ายทอดนวัตกรรม Smart Farming ให้กับชุมชนบ้านพระแก้ว โดยเฉพาะเทคนิคการใช้รถดำนา การทำนาหยอดตมและหยอดแห้ง ผลลัพธ์ที่ได้กลับต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เกษตรกรที่ปรับมาใช้เทคนิคจากสยามคูโบต้าก็พบว่า ต้นทุนต่อไร่ลดลงเหลือเพียง 4,855 บาท แต่สามารถสร้างรายได้ 533 – 2,754 บาทต่อไร่ ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นว่า การปรับวิถีสู่ Smart Farming ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนลงเกือบครึ่ง แต่ยังเปิดประตูสู่รายได้ที่มั่นคงมากขึ้น

ปี 2568 สมาชิกกลุ่มสามารถสร้างรายได้รวมจากการจำหน่ายผักสวนครัวได้มากกว่า 190,000 บาท และในปี 2569 กลุ่มตั้งเป้าหมายขยายสมาชิกผู้ปลูกผักเป็น 40 คน บนพื้นที่ 10 ไร่ ผลิตผักได้ 300-500 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ และสร้างรายได้ให้แต่ละครัวเรือนเฉลี่ยสูงถึง 120,000 บาทต่อปี

เป้าหมายนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือการวางรากฐานระบบเศรษฐกิจชุมชนที่มั่นคงและยั่งยืน ผ่านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและตลาดรองรับอย่างชัดเจน เรื่องราวของกลุ่ม SKCE–บ้านพระแก้ว คือภาพสะท้อนของพลังเกษตรกรไทย ที่ลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยความรู้ เทคโนโลยี และความร่วมมืออย่างจริงจัง จนสามารถสร้างระบบการผลิตที่ยั่งยืนได้ด้วยมือของตนเอง

ที่มา: Posttoday (www.posttoday.com/smart-sme/732556)

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy