26 ตุลาคม 2568 ‘มีสุขฟาร์ม’ โมเดลธุรกิจแห่งความสุขสร้างกำไรด้วยความจริงใจเชื่อมทีม-เกษตรกร-ชุมชนโต
“ศุภเศรษฐ์” บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของมีสุขฟาร์มว่า วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้ซึ่งก่อตั้งขึ้นจากสวนของครอบครัวในจังหวัดระยอง โดยใช้ชื่อ “มีสุข” เพื่อสะท้อนความสุขที่ส่งต่อจากเกษตรกรสู่ชุมชน โดยเริ่มจากสวนไม้กฤษณาของครอบครัวในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่มีมูลค่าสูงในตลาดน้ำหอมแถบตะวันออกกลางและญี่ปุ่น ประกอบกับในช่วงเดียวกันเกษตรกรระยองกำลังประสบวิกฤติราคาผลไม้ตกต่ำ ครอบครัวจึงได้ริเริ่มสกัดไม้กฤษณามานานกว่า 30 ปี และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้ต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น เครื่องดื่มและอาหารแปรรูปจากวัตถุดิบในสวน รวมถึงเมนูพิเศษอย่างกาแฟกฤษณาและอาหารสดจากเกษตรกรในท้องถิ่น
การดำเนินงานของมีสุขฟาร์มตั้งอยู่บนแนวคิด “ระบบนิเวศแห่งความสุข” ที่เชื่อมโยงทีมงาน เกษตรกร ชุมชน ลูกค้า และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างเกื้อหนุน นอกจากจะสามารถสร้างรายได้ให้ธุรกิจประมาณ 20 ล้านบาทต่อปีแล้ว ยังช่วยสร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ให้เยาวชน เปิดโอกาสให้ชุมชนใช้ฟาร์มเป็นแหล่งทำกิจกรรม และยังช่วยรักษาสมดุลทางสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันศุภเศรษฐ์กล่าวว่า การช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ขาดโอกาสจากบริษัทขนาดใหญ่ถือเป็นภารกิจสำคัญของฟาร์ม โดยย้ำว่าความจริงใจคือหัวใจของการสร้างความเชื่อใจ และเมื่อธุรกิจเติบโตจนมีรายได้ ก็จะคืนกำไรบางส่วนกลับสู่ชุมชน เพื่อสนับสนุนการศึกษาและพัฒนาเยาวชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
จากสวนครอบครัวเล็กๆ ในจังหวัดระยอง มีสุขฟาร์มได้พัฒนาเป็นวิสาหกิจชุมชนต้นแบบที่ผสานธุรกิจเกษตรเข้ากับการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ เปิดเป็น “ศูนย์การเรียนรู้ด้านการปลูกไม้กฤษณา การแปรรูปผลิตภัณฑ์ และการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร” เพื่อให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้ฝึกปฏิบัติจริง เห็นคุณค่าทรัพยากรท้องถิ่น และต่อยอดสู่การสร้างอาชีพในอนาคตโดยร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่ เปิดโอกาสให้เยาวชนเข้ามาเรียนรู้กระบวนการผลิตและทักษะการบริการ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานจริง สอดคล้องกับแนวคิดของศุภเศรษฐ์ที่เชื่อว่า “การพัฒนาชุมชนต้องเริ่มจากคนในพื้นที่เป็นอันดับแรก” เพราะเมื่อคนในชุมชนมีส่วนร่วม ธุรกิจก็จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ก่อนขยายผลสู่ตลาดต่างประเทศได้ในอนาคต ทั้งยังมองว่าการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลผลิตเกษตรไม่ได้หมายถึงเฉพาะในแง่ของการแปรรูปสินค้า แต่ยังรวมถึงการบูรณาการศักยภาพของคนในชุมชน ทั้งด้านอาหาร งานฝีมือ และการท่องเที่ยว เพื่อสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่แข็งแรงอีกด้วย“การมอบโอกาสให้คนในระยะยาวมีคุณค่ามากกว่าผลกำไรระยะสั้น เพราะเมื่อเกิดความเชื่อมั่นและร่วมมือกันอย่างจริงใจ ความสุขของชุมชนก็จะย้อนกลับมาสร้างการเติบโตให้องค์กรเองในที่สุด” ศุภเศรษฐ์ กล่าวพร้อมย้ำทิ้งท้ายว่า การดำเนินงานของมีสุขฟาร์มคือภาพสะท้อนขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย “ความสุข ความจริงใจ และการให้โอกาส” ซึ่งไม่เพียงสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ที่มา: เดลินิวส์ (www.dailynews.co.th/news/5231243)