23 สิงหาคม 2568 พ.ร.บ. ลดโลกร้อน ฉบับแรกของไทย กลไกสำคัญรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทยกำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญของการต่อสู้กับโลกร้อน เมื่อร่าง พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่หลายคนเรียกสั้น ๆ ว่า “พรบ.ลดโลกร้อน” กำลังใกล้คลอดเต็มที หลังจากที่ใช้เวลาเกือบ 5 ปีในการร่าง พิจารณา และรับฟังความคิดเห็น หากนับตั้งแต่ปี 2564 (2021) ในยุคนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ได้แสดงเจตนารมย์ว่าไทยจะมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เริ่มมีกฎหมายออกมารองรับ
ล่าสุดเอกสารฉบับนี้อยู่ระหว่างการรอความเห็นชอบจากกว่า 30 หน่วยงานหลัก ก่อนจะถูกนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่ประเทศไทยจะมีกรอบกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
แก่นหลักของ พ.ร.บ. นี้มีอยู่ 3 มิติสำคัญ
มิติแรก คือการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเป้าหมายใหญ่คือการทำให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรม การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการปรับปรุงระบบขนส่ง
มิติที่สอง คือ การปรับตัวต่อผลกระทบของโลกร้อน โดยการจัดทำแผนรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุที่รุนแรงขึ้น
ส่วนมิติที่สาม คือ การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ท้องถิ่น ภาคธุรกิจ หรือภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีบทบาทในกระบวนการแก้ปัญหานี้ร่วมกัน
นอกจากนี้ พรบ.ยังวางกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon..Pricing ที่ยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” การตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ” เพื่อสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงกับมาตรการสากลอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน หากมองย้อนกลับไป ไทม์ไลน์การพัฒนากฎหมายฉบับนี้ยาวนานไม่ใช่น้อย เริ่มต้นตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2561 เมื่อรัฐบาลไทยได้ประกาศใช้ “แผนการปฏิรูปประเทศ
ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งกำหนดให้ต้องมีกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ต่อมาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาและร่างกฎหมาย จนในที่สุดปี 2568 ก็ใกล้จะถูกเสนอเข้า ครม. หากผ่านไปได้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสู่เป้าหมาย “Net Zero” ของไทย
เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ หลายชาติได้เดินหน้าเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว เช่น สหราชอาณาจักรที่มี Climate Change Act ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเป็นกฎหมายสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของโลก และกำหนดเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 หรือ เยอรมนี ที่ออกกฎหมาย Klimaschutzgesetz ปี 2019 กำหนดเป้าหมายลดก๊าซ 65% ภายในปี 2030 และ Net Zero ปี 2045 ขณะที่สเปน มี Climate Change and Energy Transition Law ปี 2021 ที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำภายในปี 2050 ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ ก็มี CO₂ Act ที่เก็บภาษีคาร์บอนและสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจมานานแล้ว และล่าสุดแอฟริกาใต้ ก็เพิ่งผ่าน Climate Change Act ในปี 2024 โดยเน้น “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม” เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ที่มา : https://www.posttoday.com (https://www.posttoday.com/smart-city/729082)