18 ธันวาคม 2568 ต้นคริสต์มาสจริง vs ปลอม: ทางเลือกไหนรักษ์โลกกว่ากัน?

ต้นคริสต์มาสจริงหรือต้นคริสต์มาสปลอม แบบไหนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า เมื่อมองตั้งแต่การผลิตจนถึงวันสุดท้ายของวงจรชีวิต

คำถามเดิมที่มักวนกลับมาทุกเทศกาลคริสต์มาส เทศกาลแห่งความสุขช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คือ ระหว่างต้นคริสต์มาสจริงกับต้นคริสต์มาสปลอม ตัวเลือกไหนที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยกว่ากัน เนื่องจากต้นไม้จริงย่อยสลายได้และมาจากแหล่งธรรมชาติ ขณะที่ต้นปลอมผลิตจากพลาสติกและโลหะ แต่สามารถใช้งานซ้ำได้หลายปี บทความนี้ชวนพิจารณาผลกระทบตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่การผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัด เพื่อหาคำตอบที่ซับซ้อนกว่าการเลือกเพียงจากภาพลักษณ์ภายนอก

เมื่อเทศกาลวันหยุดใกล้เข้ามา ต้นคริสต์มาสถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเฉลิมฉลอง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกต้นสนจริงหรือต้นสนเทียม ศูนย์กลางแห่งเทศกาลนี้ย่อมมาพร้อมกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมเสมอ

ต้นคริสต์มาสจริงที่มีความสูง 2 เมตร มีรอยเท้าคาร์บอนเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3.5 กิโลกรัม ของคาร์บอนไดออกไซด์ หากถูกกำจัดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การบดต้นไม้หรือการเผา แต่หากปล่อยให้ย่อยสลายเองในหลุมฝังกลบ รอยเท้าคาร์บอนอาจเพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 16 กิโลกรัมของคาร์บอนไดออกไซด์ได้

แม้ว่าบางส่วนจะสนับสนุนต้นไม้พลาสติก โดยอ้างถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ได้ว่าเป็นคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ต้นคริสต์มาสเทียม ความสูงเท่ากันที่ 2 เมตร ได้รับการประเมินว่ามีต้นทุนคาร์บอนอยู่ที่ 40 กิโลกรัม เมื่อถูกทิ้งในที่สุด และหากมองในแง่มุมที่ถูกต้อง การนำต้นคริสต์มาสเทียมกลับมาใช้ใหม่ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 12 ปี จึงจะเทียบเท่ากับความเป็นมิตรขต่อสิ่งแวดล้อมของต้นคริสต์มาสจริง

               ต้นคริสต์มาสจริงมีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เนื่องจากสามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพและไม่ก่อให้เกิดอันตรายทางเคมีต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อนำไปทำปุ๋ยหมักแล้ว ต้นไม้เหล่านี้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบไม้แปรรูป วัสดุคลุมดินหรือปุ๋ยได้ ต้นคริสต์มาสจริงบางต้นยังถูกนำไปวางไว้ที่ก้นสระน้ำ แม่น้ำและมหาสมุทร เพื่อสร้างแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ใต้น้ำ

ก่อนที่จะถูกตัด ต้นคริสต์มาสจริงยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนระบบนิเวศทางธณรมชาติ ด้วยการเป็นที่พักพิงให้กับนกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลากหลายสายพันธุ์ ไปพร้อมกับการช่วยกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมาอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นกังวลจากนักวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า ต้นไม้เหล่านี้อาจไม่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากมักถูกตัดในช่วง “วัยรุ่น” ก่อนที่จะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่

ที่มา : https://www.springnews.co.th (https://www.springnews.co.th/keep-the-world/sustainable/861126)

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy