16 สิงหาคม 2564 ภัยธรรมชาติรุนแรงทั่วโลก สัญญาณผลกระทบโลกร้อน

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/foreign/2166666
สภาพอากาศโลกแปรปรวนขึ้นเรื่อย ๆ เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเดือนที่โลกมีอุณหภูมิทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวทั้งบนบกและผิวน้ำทะเลอยู่ที่ 16.73 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิในศตวรรษที่ 20 ไปถึง 0.93 องศาเซลเซียส
เกิดไฟป่ารุนแรงแบบเกินรับมือในหลายประเทศทั่วโลกทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย กรีซ อิตาลี แอลจีเรีย ตุรกี และแคนาดา แม้ปกติแล้วจะเกิดไฟป่าทุกปี แต่ปีนี้สถานการณ์เลวร้าย โดยมีผลกระทบจากสภาพอากาศเปลี่ยนเป็นชนวนความรุนแรง เฉพาะที่ประเทสสหรัฐอเมริกาปีนี้มีพื้นที่ป่าถูกเผาไหม้แล้วกว่า 8.8 ล้านไร่
ความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลกทำให้เกิดฝนตกหนักเป็นประวัติการณ์ เกิดน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงในหลายประเทศแถบตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปยุโรป มีผู้เสียชีวิตไปกว่า 100 ศพ สูญหายอีกนับพันคน หลายประเทศแถบเอเชียก็เจอน้ำท่วมครั้งใหญ่อย่างที่ประเทศจีนและญี่ปุ่น
หากติดตามข่าวต่างประเทศช่วงนี้จะพบว่านอกจากข่าวสถานการณ์โควิดที่กลับมาแพร่ระบาดรุนแรงในหลายประเทศแล้ว ยังมีแต่ข่าวภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นพร้อมกัน ดูแล้วไม่ต่างจากวันสิ้นโลก ไม่ว่าจะเป็นไฟป่าตามที่ต่างๆ ที่โหมรุนแรงลามเข้าเขตชุมชน น้ำท่วม ดินถล่ม ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก และข่าวการเผชิญคลื่นความร้อนในหลายประเทศแถบทวีปยุโรป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญต่างชี้ว่า เป็นผลมาจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ภัยธรรมชาติเกิดบ่อยขึ้นและส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น
เมื่อเร็ว ๆ นี้ องค์การบริหารด้านมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration-NOAA) เปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่า เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเดือนที่โลกมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกสถิติมา วัดจากพื้นผิวดินและผิวน้ำแล้วคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยออกมาได้สูงกว่าตัวเลขอุณหภูมิเฉลี่ยของศตวรรษที่ 20 ไปถึงเกือบ 1 องศาเซลเซียส โดยร้อนกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว 0.01 องศาเซลเซียส และเรียกได้ว่า เป็นเดือนที่โลกร้อนที่สุดในรอบ 142 ปี จากข้อมูลระบุว่า หากดูเฉพาะบริเวณซีกโลกเหนือ อุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้นถึง 1.54 องศาเซลเซียส ขณะเดียวกันเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ยังเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดของทวีปเอเชียด้วย และร้อนที่สุดของทวีปยุโรป รองจากเดือน ก.ค. ในปี พ.ศ. 2561 โดยสภาพอากาศแปรปรวน ทำให้เกิดการก่อตัวอย่างผิดปกติของพายุไซโคลนโซนร้อนในปีนี้ ขณะที่ก่อนหน้านี้ องค์การสหประชาชาติออกมารายงานเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นสัญญาณอันตรายร้ายแรงต่อมนุษยชาติ โดยนายอันโตนิโอ กูเตียเรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติกล่าวว่า หากเป็นเมื่อก่อนเรายังหลีกเลี่ยงที่จะไม่แก้ปัญหาโลกร้อนได้ เพราะผลกระทบต่าง ๆ ยังไม่รุนแรง แต่ตอนนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ตอนนี้เราไม่มีเวลาเหลือที่จะเพิกเฉยต่อปัญหานี้แล้ว
รายงานของยูเอ็นระบุว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ที่ผ่านมา อุณหภูมิพื้นผิวโดยเฉลี่ยรอบ 50 ปีของโลกเราเพิ่มสูงขึ้นรวดเร็วที่สุดในตลอดช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา หลายประเทศแถบทวีปยุโรป อุณหภูมิร้อนทะลุ 40 องศาเซลเซียส โดยอากาศในเมืองซิซิลีของประเทศอิตาลี ร้อนทำสถิติสูงสุดที่ 48.8 องศาเซลเซียส ส่วนที่หมู่บ้านลิทตั้น ในรัฐบริติช โคลัมเบีย ของประเทศแคนาดา อุณหภูมิทะลุ 49.6 องศาเซลเซียส มีหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญไฟป่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย กรีซ อิตาลี แอลจีเรีย ตุรกี และแคนาดา โดยที่ประเทศกรีซแม้จะเกิดไฟป่าเป็นประจำทุกปี แต่ปีนี้เปลวไฟลุกลามไปทั่วประเทศ และอากาศที่ร้อนจัดก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อภารกิจในการดับไฟป่า นายกรัฐมนตรีของกรีซแถลงทางโทรทัศน์ว่า ประเทศกรีซกำลังเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติครอบคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากเกิดไฟป่าถึง 586 จุดในทั่วทุกมุมของประเทศ เผาผลาญบ้านเรือนไปหลายร้อยหลังคาเรือน ทำให้ต้องอพยพประชาชนถึง 63 ครั้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยเกาะเอเวีย ซึ่งเป็นเกาะใหญ่อันดับสองของประเทศกรีซถูกไฟป่าเผาผลาญพื้นที่ของเกาะไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ปะทุขึ้นมานานนับเดือนก็ยังคงลุกลามอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบททางตอนเหนือของเขตเทือกเขาเซียร์รา เนวาดา เผาบ้านเรือนวอดไปกว่า 550 หลัง และยังขยายวงกว้างเผาผลาญพื้นที่ป่าไปแล้วกว่า 2,000 ตารางกิโลเมตร จนถึงตอนนี้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงควบคุมไฟป่าไปได้เพียงร้อยละ 31 เท่านั้น ขณะที่สภาพอากาศร้อนและแห้งแล้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้ไฟป่าลุกลามรวดเร็ว และส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่า นักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก ทำให้พื้นที่ทางตะวันตกของประเทสสหรัฐอเมริการ้อนและแห้งแล้งมากที่สุดในรอบ 30 ปี ส่งผลให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรง รวมถึงไฟป่าเพิ่มมากขึ้น
น้ำท่วมใหญ่หลายประเทศทั่วยุโรป
สองสัปดาห์ที่ผ่านมาน้ำท่วมรุนแรงส่งผลกระทบในหลายประเทศของยุโรปตะวันตก มีภาพข่าวกระแสน้ำทะลักลงไปท่วมถึงในรถไฟใต้ดิน มีรายงานผู้เสียชีวิตมากกว่า 120 ศพ มีผู้สูญหายอีกหลายร้อยคน ทั้งในประเทศเยอรมนีและเบลเยียม หลังฝนตกหนักทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง โดยประเทศเยอรมนี เป็นประเทศที่ได้รับความเสียหายจากเหตุน้ำท่วมเป็นวงกว้าง และมียอดผู้เสียชีวิตสูงสุดกว่า 100 ศพ ส่งผลให้ประธานาธิบดี แฟรงค์ วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ กล่าวว่า เขาตกตะลึงกับความเสียหายที่เกิดขึ้น หลังจากได้ลงพื้นที่ด้วยตัวเอง และเห็นใจประชาชนที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาทั้งชีวิต นอกจากนี้ ยังมีฝนตกหนักในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ ทำให้นายกรัฐมนตรี มาร์ก รูทท์ ของเนเธอร์แลนด์ ต้องประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินในจังหวัดทางตอนใต้ 1 จังหวัด
ที่ประเทศเบลเยียม มีการประเมินความเสียหายจากเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 20 ศพ โดยนายกรัฐมนตรีได้ประกาศให้วันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันไว้อาลัยทั่วประเทศ
ที่สวิตเซอร์แลนด์ ทะเลสาบและแม่น้ำเพิ่มระดับสูงขึ้นหลังฝนตกหนักจนน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่ ทั้งในกรุงเบิร์น และในเมืองลูเซิร์น จนทางการต้องสั่งให้ประชาชนอยู่ห่างจากแม่น้ำในช่วงนี้เพื่อความปลอดภัย บรรดาผู้นำชาติยุโรปต่างกล่าวโทษว่า สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงเป็นผลมาจากสภาพอากาศเปลี่ยนและภาวะโลกร้อน เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่า ภาวะโลกร้อนทำให้มีฝนตกหนักมากผิดปกติ โดยอุณหภูมิของโลกอุ่นขึ้นราว 1.2 องศาเซลเซียส นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้น
ตุรกีอ่วมสุดเจอน้ำท่วมใหญ่ซ้ำเติมไฟป่า
ประเทศตุรกี เป็นหนึ่งในประเทศที่เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีภัยธรรมชาติกระหน่ำสองด้าน อุณหภูมิสูงทะลุ 49.1 องศาเซลเซียส เกิดไฟป่ากว่า 500 แนว บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางตอนใต้ของประเทศ เปลวไฟเผาพื้นที่ป่าของตุรกีไปกว่า 1,600 ตารางกิโลเมตร นับเป็นฤดูไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ศพ บาดเจ็บเกือบ 1,000 ราย ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เมืองรีสอร์ตริมทะเลต้องอพยพหนีไฟป่าที่ลามเข้าประชิด ผ่านไปกว่า 2 สัปดาห์ถึงเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ไฟป่ายังดับไม่หมด ก็ได้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่บริเวณจังหวัดชายฝั่งทะเลดำทางตอนเหนือของประเทศ อย่าง จ.บาร์ติน คาสตาโมนู ไซนอป และแซมซัน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปเกือบ 60 ศพ มีประชาชนกว่า 2,000 คนต้องอพยพหนีออกจากบ้านเรือน ภัยธรรมชาติรุนแรงทำให้ประธานาธิบดีของตุรกีต้องประกาศพื้นที่ภัยพิบัติในพื้นที่แถบทะเลดำ ผู้เชี่ยวชาญของตุรกีกล่าวว่า จากการทำแบบจำลองสภาพอากาศทำให้พบว่า มีโอกาสที่พอถึงปลายศตวรรษนี้ตุรกีจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 3.5-6.5 องศาเซลเซียส ในขณะที่จะเกิดฝนตกหนักครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น แม้จะตกไม่ยาวนาน แต่จะตกบ่อยมากขึ้น ในขณะที่ฤดูแล้งจะขยายเวลาออกไปประมาณร้อยละ 30 เนื่องมาจากภาวะสภาพอากาศแปรปรวนสุดขั้ว