13 ธันวาคม 2568 ‘โซลาร์เซลล์’ ต้องมองไกลให้ถึงปลายทาง
ภายใต้วิกฤติโลกรวน ประเทศไทยได้เร่งเครื่องสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) และความเป็นกลางทางคาร์บอน พลังงานแสงอาทิตย์จึงเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ด้วยต้นทุนที่ลดลงและการสนับสนุนจากภาครัฐทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์เติบโตแบบก้าวกระโดดจาก 2.5 เมกะวัตต์เป็นกว่า 4,900 เมกะวัตต์ในเวลาเพียง 2 ทศวรรษ และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกภาคส่วน
ล่าสุดครม.ไฟเขียวมาตรการทางภาษีกระตุ้นให้เกิดการติดตั้ง โซลาร์รูฟท็อปในบ้านของประชาชน นับเป็นความก้าวหน้าในการก้าวสู่ยุคพลังงานสะอาด แต่กระนั้น การที่จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดที่สมบูรณ์และยั่งยืนอย่างแท้จริง ประเทศไทยจำเป็นต้องมองให้ไกลกว่าแค่ปริมาณการติดตั้ง และควรให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการวางระบบจัดการแผงโซลาร์เซลล์หลังสิ้นอายุขัยไปพร้อมกัน
แผงโซลาร์เซลล์ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานราว 25-30 ปี และจำเป็นต้องถูกปลดระวางเมื่อประสิทธิภาพลดลง คาดว่าภายในปี 2583 จะมีปริมาณโลหะหนักที่อยู่ในขยะโซลาร์เซลล์สะสม เช่น ตะกั่ว 3.0 – 17.2 ตัน และพลวง 6.9 – 40.0 ตัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หากไม่มีระบบการจัดการที่เหมาะสมและชัดเจนมารองรับ
สิ่งสำคัญคือการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อวางรากฐานในการจัดการ ดังต่อไปนี้
1. กำหนดความรับผิดชอบทางกฎหมาย (EPR/PPP) ผลักดันกฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) หรือ PPP (Polluter Pays Principle) เพื่อกำหนดบทบาท กลไกทางการเงิน และความรับผิดชอบในการเก็บคืน ใช้ซ้ำ รีไซเคิล
2. พัฒนาระบบฐานข้อมูลและติดตาม (PV Registry)
3. วางระบบเก็บคืนและการใช้ซ้ำ (Collection & Reuse)
4. ยกระดับมาตรฐานโรงงานรีไซเคิล (Recycling Standards)
5. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และโครงสร้างพื้นฐานหมุนเวียน
ข้อเสนอเหล่านี้คือ รากฐานที่สำคัญที่จะทำให้พลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง ไม่ทิ้งภาระไว้ให้อนาคต ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ประเทศไทยพัฒนาอุตสาหกรรมรีไซเคิล และเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งเป็นกลไกสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ (www.bangkokbiznews.com/environment/1211360)