11 ตุลาคม 2565 คาร์บอนเครดิตบูมเอกชนลุยซื้อขาย รับตลาดโต 3.2 แสนล้าน

ที่มา : https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/543286

ทั่วโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่โหมดการใช้พลังงานทดแทน (Renewable Energy) เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้คำมั่นในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP 26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อ 1 พ.ย. 2564 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศไทยจะบรรลุ
เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ.2050 (2593) และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065 (2608) ปัจจุบันองค์กรภาคธุรกิจในไทยได้รับลูกเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการการใช้พลังงานทดแทน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่สำคัญยังสามารถช่วยผู้ประกอบการ
ในการสร้างรายได้จากการซื้อขายคาร์บอนเครดิตด้วย     

              นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กล่าวว่า ประเทศไทยได้ยกระดับในการวางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40% ในปีค.ศ. 2030 (2573) จากที่มีการปล่อยอยู่ราว 338 ล้านตันต่อปี โดยมีการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ
               ทั้งนี้ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้จัดทำแนวทางและกลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการสร้างตลาดคาร์บอนให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ได้ออกระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนการซื้อ การขาย และถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต พ.ศ. 2565 รองรับไว้แล้ว                                                              

               “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯอยู่ระหว่างผลักดันร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามแผนการปฏิรูปประเทศเพื่อเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตและกลไกการเงินที่จำเป็น การกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกรายสาขา คาดจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ภายในสิ้นปี 2565 หรือ ต้นปี 2566”

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy