10 มีนาคม 2565 7 แหล่งมรดกโลกในยูเครน มรดกโลกในไฟสงคราม

ที่มา:

https://mgronline.com/travel/detail/9650000023588

แหล่งมรดกโลกในประเทศยูเครนบางแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่การสู้รบ จนหลายฝ่ายเกรงว่าอาจจะเสียหายจากสงครามครั้งนี้ไปด้วย สำหรับแหล่งมรดกโลกในยูเครนได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโกทั้งหมด 7 แห่ง แบ่งออกเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม 6 แห่ง และแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ 1 แห่ง ดังนี้

1. อาสนวิหารนักบุญโซเฟีย และสิ่งปลูกสร้างอารามที่เกี่ยวข้อง อารามมหาวิหารหลวงแห่งหมู่ถ้ำพอร์จเชตกาลาฟร่า “อาสนวิหารนักบุญโซเฟีย”เป็นอาสนวิหาร และหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของกรุงเคียฟที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ประกอบด้วยตัวอาคารหลัก หอระฆัง และสภานครหลวง ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลกแห่งแรกของประเทศยูเครน ในปี ค.ศ.1990 ร่วมกับอารามมหาวิหารหลวงแห่งหมู่ถ้ำพอร์จเชตกาลาฟร่า หรืออารามหลวงแห่งหมู่ถ้ำเป็นสถาปัตยกรรมอารามหลวงสุดคลาสสิก สวยงามโดดเด่นมองเห็นแต่ไกล อารามแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงศตวรรษที่ 11 และนับจากนั้นกลายเป็นศูนย์กลางอำนาจของคริสต์อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ในยุโรปตะวันออก

2. ลวิว กลุ่มศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมืองลวิว (L’viv) เป็นเมืองทางตะวันตกของยูเครน เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางวัฒนธรรมที่สำคัญของยูเครนในปัจจุบัน และเป็นเมืองประวัติศาสตร์ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมโปแลนด์และยิวที่สำคัญ เนื่องจากเมืองนี้มีประชากรจำนวนหนึ่งเป็นชาวโปแลนด์ และยิวที่อพยพมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และการล้างชาติโดยนาซี (ค.ศ. 1944–1946) เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นในยุคกลางตอนปลาย เป็นศูนย์กลางการปกครอง ศาสนา และการค้าที่เฟื่องฟูมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ภูมิประเทศของเมืองในยุคกลางได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี (โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหลักฐานของชุมชนชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่น) พร้อมด้วยอาคารสไตล์บาโรกที่สวยงามอีกหลายแห่ง ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1998

3. Struve Geodetic Arc(ร่วมกับเบลารุส มอลโดวา เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฟินแลนด์ นอร์เวย์ รัสเซีย และสวีเดน) “Struve Geodetic Arc” เป็นกลุ่มการสำรวจสามเหลี่ยมที่ทอดยาวจากแฮมเมอร์เฟสต์ในนอร์เวย์ไปจนถึงทะเลดำ ผ่าน 10 ประเทศและกว่า 2,820 กม. สิ่งเหล่านี้คือจุดของการสำรวจซึ่งดำเนินการระหว่างปี 1816 ถึง 1855 โดยนักดาราศาสตร์ชื่อ Friedrich Georg Wilhelm Struve ซึ่งเป็นตัวแทนของการวัดที่แม่นยำครั้งแรกของส่วนที่ยาวของเส้นเมอริเดียน สิ่งนี้ช่วยสร้างขนาด และรูปร่างที่แน่นอนของดาวเคราะห์ และเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธรณีศาสตร์ และการทำแผนที่ภูมิประเทศ ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2005

4. ที่พำนักของมุขนายกมหานครแห่งบูโควีนาและแดลเมเชีย ที่นี่แสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างโดยสถาปนิกชาวเช็ก ก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1864-1882 มีทั้งที่พำนัก อาราม โบสถ์ สวน และสวนสาธารณะ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางสถาปัตยกรรม และวัฒนธรรมตั้งแต่สมัยไบแซนไทน์เป็นต้นมา สะท้อนถึงการดำรงอยู่ของโบสถ์ออร์โธดอกซ์อันทรงพลังในช่วงการปกครองของฮับส์บูร์ก ซึ่งสะท้อนถึงนโยบายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีทางด้านศาสนา

5. นครโบราณทอริกเคอร์โซนีสและอาณาเขตนอกตัวนคร พื้นที่นี้เป็นซากของเมืองเก่าที่ถูกก่อตั้งโดยชาวดอเรียนแห่งกรีก ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช บนชายฝั่งทางเหนือของทะเลดำ มีทั้งที่อยู่อาศัยและที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกองุ่นซึ่งเป็นผลผลิตสำคัญที่ถูกส่งออกไปยังเมืองอื่น ๆ และยังเป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางการผลิตไวน์ที่มีคุณภาพมากที่สุดในแถบทะเลดำ และยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนระหว่างจักรวรรดิกรีก โรมัน และไบแซนไทน์

6. โบสถ์ไม้แห่งภูมิภาคคาร์เพเทียนในโปแลนด์และยูเครน ตั้งอยู่บริเวณชายขอบตะวันออกของยุโรปกลาง มีทั้งหมดจำนวน 16 โบสถ์ (หรือ Tserkvas) สร้างจากท่อนไม้แนวนอน ในระหว่างศตวรรษที่ 16-19 โดยชุมชนของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์และกรีก Tserkvas เป็นเครื่องยืนยันถึงประเพณีการก่อสร้างที่แตกต่างกัน ซึ่งมีรากฐานมาจากการออกแบบของนักบวชออร์โธดอกซ์ที่ผสมผสานกับองค์ประกอบของประเพณีท้องถิ่น และการอ้างอิงเชิงสัญลักษณ์ถึงจักรวาลวิทยาของชุมชนของพวกเขา

7. ป่าบีชโบราณและป่าบีชปฐมภูมิแห่งเทือกเขาคาร์เพเทียนและภูมิภาคอื่นของยุโรป (ร่วมกับโครเอเชีย เช็กเกีย นอร์ทมาซิโดเนีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา บัลแกเรีย เบลเยียม โปแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี โรมาเนีย สเปน สโลวาเกีย สโลวีเนีย สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย อิตาลี และแอลเบเนีย) ประกอบไปด้วยพื้นที่ 94 แห่ง ใน 18 ประเทศ นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย ป่าบีชได้แพร่กระจายจากพื้นที่บางแห่งในเทือกเขาแอลป์ คาร์พาเทียน ดินาริดส์ เมดิเตอร์เรเนียน และเทือกเขาพิเรนีส ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่พันปี การขยายตัวของป่าบีชยังดำเนินต่อไป การขยายตัวที่ประสบความสำเร็จทั่วทั้งทวีปนั้นสัมพันธ์กับความสามารถในการปรับตัวของต้นไม้และความทนทานต่อสภาพอากาศ ภูมิศาสตร์ และสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน

ปัจจุบันแหล่งมรดกโลกทั้ง 7 แห่งในประเทศยูเครนนี้ถูกเฝ้าติดตามจากยูเนสโก และองค์กรที่เกี่ยวข้องในการอนุรักษ์มรดกโลกว่า จะถูกผลกระทบ หรือได้รับความเสียหายจากสงครามครั้งนี้หรือไม่ ตอนนี้คงได้แต่หวังให้สงครามจบลงโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อผู้คน ทรัพย์สิน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมไปมากกว่านี้

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy