31 พฤษภาคม 2564 เร่งผู้ส่งออกปรับตัว อียูออกกฎคุมเข้มพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง เริ่มบังคับใช้ ๓ กรกฎาคมนี้

ที่มา: https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2750397

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเปิดเผยว่า สหภาพยุโรป (อียู) ออกประกาศมาตรการทางการค้า เรื่องการสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single–Use Plastics Products : SUPs) ในอียู ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๓ ก.ค. ๖๔ เป็นต้นไป โดยมาตรการนี้จะมีผลกับสินค้า ๒ กลุ่ม คือ (๑) มาตรการห้ามวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งในท้องตลาดอย่างเด็ดขาด จะบังคับใช้กับก้านสำลี (คอตตอนบัด) ช้อน ส้อม มีด จาน ไม้คนกาแฟ ก้านลูกโป่ง บรรจุภัณฑ์อาหารที่ทำจากพอลิสไตรีน และถุงพลาสติกออกโซ (Oxo) และ (๒) มาตรการให้มีสัญลักษณ์บนบรรจุภัณฑ์และหีบห่อของสินค้า เพื่อแสดงข้อมูลปริมาณพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ผลกระทบที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อมและวิธีการกำจัด โดยจะบังคับใช้กับผ้าอนามัย ทิชชู่เปียก บุหรี่ที่มีก้นกรอง และแก้วเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งอียูได้ให้เหตุผลของการออกมาตรการว่า พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งเป็นต้นเหตุของปัญหาขยะในทะเล และเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์น้ำ

นางอรมนกล่าวว่า ภายในช่วง ๑๐ ปีข้างหน้า อียูเตรียมกำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการคุมเข้มการใช้พลาสติก เช่น กำหนดให้ขวดเครื่องดื่มพลาสติกโพลีเอทิลีนเทอพาทาเลท (PET) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน จะต้องมีสัดส่วนของพลาสติกที่รีไซเคิลแล้วอย่างน้อยร้อยละ ๒๕ ในปี ๖๘ และจะเพิ่มเป็นร้อยละ ๓๐ ในปี ๗๓ กำหนดให้ขวดน้ำที่จะวางขายในท้องตลาดได้ จะต้องออกแบบให้มีฝาติดกับตัวขวดเท่านั้นภายในปี ๖๗ รวมถึงกำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกชนิดนี้ต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ และจัดการขยะพลาสติก และการสร้างความรู้ให้แก่ผู้บริโภค เป็นต้น ซึ่งแม้มาตรการเหล่านี้จะบังคับใช้กับประเทศสมาชิกอียู แต่จะมีผลต่อสินค้าจากทุกประเทศ รวมทั้งสินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยไปอียูด้วย มาตรการดังกล่าว ชี้ให้เห็นแนวโน้มความสำคัญของการค้ากับสิ่งแวดล้อม ประกอบกับนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ของประเทศไทยก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน ผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์พลาสติกไปอียูจะต้องให้ความสำคัญและเร่งปรับตัว เพื่อที่จะสามารถรักษาตลาดในอียู หรือใช้โอกาสสร้างตลาดใหม่ หากสามารถพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าให้ตอบสนองมาตรการใหม่ของอียูได้ ทั้งนี้ ในปี ๖๓ อียู (๒๗ ประเทศ ไม่นับสหราชอาณาจักร) เป็นคู่ค้าอันดับ ๕ ของประเทศไทย มูลค่าการค้ารวม ๓๓,๑๓๔ ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา โดยประเทศไทยส่งออกไปอียูมูลค่า ๑๗,๖๓๗ ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา สินค้าสำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ และรถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกของประเทศไทยไปอียู มูลค่า ๔๑๗.๗ ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา สินค้าสำคัญ เช่น โพลิอะซีทัล ถุงพลาสติก ภาชนะใส่อาหาร เม็ดพลาสติก และสารตั้งต้นของพลาสติกชีวภาพ เป็นต้น

 

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของคุณ เราจะถือว่าคุณรับได้กับเรื่องนี้ แต่คุณสามารถเลือกไม่รับได้หากต้องการ ยอมรับ อ่านเพิ่มเติม

Privacy & Cookies Policy